โดยครั้งนี้ จะมาเล่าเรื่องความสำคัญของโรคที่ทำลายสุขภาพดวงตา
อย่าง โรค CVS เพราะดวงตาของเราสำคัญอย่างยิ่งที่สุดเราจึงละเลย
เรื่องสุขภาพของดวงตาไม่ได้
โรค CVS หรือเรียกว่า Computer Vision Syndrome
Credit ภาพ โดย www.google.co.th
Credit ภาพ โดย www.google.co.th
ปัจจุบัน Computer,Tablet และ Smart Phone เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา
ทั้งที่ทำงานและที่บ้านทั้งเพื่อประโยชน์ในการทำงาน อำนวยความสะดวกในการสื่อสาร รวมถึง
เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน จนถือเป็นปัจจัยที่ 6 ของมนุษย์ไปแล้ว แม้แต่ตัวผมเองก็ใช้
Ipad ในการทำงานวันละหลายชั่วโมงและต้องถือติดตัวอยู่ตลอดเวลา แทบจะปล่อยห่างตัวไม่ได้
ซึ่งก็คงจะเหมือนกับคนทั่วๆ ไปในสังคมปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ตามการใช้คอมพิวเตอร์ก็มีผลเสียต่อ
สุขภาพของดวงตาหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพทางตา ทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า
โรคตาจากจอคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า CVS หรือ Computer Vision Syndrome เป็นโรคทางสายตา
ซึ่งเกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานานๆ พบได้ในทุกเพศ ทุกวัย พบในผู้หญิง
มากกว่าผู้ชาย เพราะเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ผู้หญิงมีโอกาศเป็นโรคตาแห้งมากกว่าผู้ชาย พบตั้งแต่เด็ก
จนถึงผู้สูงอายุ โดยเด็กจะไม่มีขีดจำกัดของการตระหนักในตนเองอาจเล่นเกมส์ในคอมพิวเตอร์
เป็นเวลา 2 - 3 ชั่วโมงหรือตลอดทั้งวันโดยไม่มีการพัก ทำให้เด็กที่ใช้คอมพิวเตอร์อย่างหนัก
มีโอกาศเป็นโรคสายตาสั้น
Credit ภาพ โดย www.google.co.th
มีการศึกษาที่ประเทศสิงค์โปร์ในเด็กอายุ 7 - 9 ขวบ พบวาภายใน 3 ปีมีเด็กเป็นโรคสายตาสั้นเพิ่มขึ้น
อีกเท่าตัว สำหรับในผู้สูงอายุก็มีความเสี่ยงในเรื่องของจอประสาทตา ทำให้เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
และเป็นโรคต้อหินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนตาบอดในปัจจุบันนี้ ดังนั้นเพื่อให้ทุกคน
รับมือกับโรคไอทีในยุคที่คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนถือครองโลกได้อย่างทันท่วงที
ผมจึงรวบรวมต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรค CVS และวิธีป้องกันรักษาโรคมาให้อ่านกันครับ
โรค CVS คือกลุ่มอาการทางตาที่ประกอบไปด้วยอาการต่างๆ มากมายภายหลังจากการใช้จอคอม
พิวเตอร์เป็นเวลานาน ปัจจุบันพบอุบัติการณ์นี้มากถึง 70 - 80 % ของจำนวนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั้งหมด
และมีแนวโน้มจะสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต จุดเริ่มต้นของโรค CVS เกิดจากการที่สายตาจับอยู่
กับจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานเกินไป ทำให้อัตราการกระพริบตาลดลงกว่า 60 % เมื่อเทียบจาก
ปกติซึ่งต้องกระพริบตาประมาณ 15 ครั้ง/นาที ทำให้ผิวตาแห้ง แสบตา เคืองตา คันตา ปวดเมื่อยตา
ปวดกระบอกตา ตามัว ตาสู้แสงไม่ได้ บางรายเห็นภาพซ้อน เห็นสีผิดเพี้ยนจากปกติ โดแบ่งเป็นกลุ่ม
อาการใหญ่ๆ ดังนี้
1. ปัญหาปวดตาหรือเมื่อยตา (Eye Strain, Tired Eye)
Credit ภาพ โดย www.google.co.th
เกิดจากการเพ่งสายตาติดต่อกันอย่างยาวนาน ทำให้มีอาการเมื่อยล้าจากการใช้สายตา ทั้งนี้การอ่าน
ตัวหนังสือจากจอคอมพิวเตอร์เราต้องเพ่งมากกว่าปกติเนื่องจากตัวหนังสือเกิดขึ้นจากจุดหลายจุด
มาต่อกัน ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือที่พิมพ์บนกระดาษซึ่งจะชัดเจนกว่าจึงทำให้ปวดเมื่อยตา
ได้ง่ายกว่า
2. ปัญหาเคืองตา แสบตา (Ocular Surface Problems)
Credit ภาพ โดย www.google.co.th
ปกติคนเราจะมีน้ำตาเคลือบผิวอยู่ตลอดเวลาเป็นการหล่อเลี้ยงตา แต่ถ้าเมื่อใดน้ตาเคลือบผิวตาน้อย
กว่าปกติก็จะเกิดอาการตาแห้ง มีอาการแสบตา เคืองตา ตาแดง มีตาพร่ามัวได้ การดูจอคอมพิวเตอร์
นานๆ เป็นผลให้การกระพริบตาน้อยลงเมื่อเทียบกับปกติ รวมทั้งมีระยะการกลอกตาค่อนข้างจำกัด
ส่งผลให้เกิดน้ำตาระเหยออกไปมาก ก่อให้เกิดปัญหาตาแห้งตามมา ส่งผลให้เกิดอาการทางตา
ต่างๆ ตามมา
3. ปัญหาตามัว (Blurred Vision)
Credit ภาพ โดย www.google.co.th
จากการใช้สายตาเพ่งเกมหรือคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์
รวมทั้งแสงสว่างที่ไม่เหมาะสม จะทำให้ตามัว เกิดภาวะคล้ายสายตาสั้น มองไกลไม่ชัด แต่มักเป็น
เพียงชั่วคราวก็จะกลับสู่ภาวะปกติ แต่เมื่อมีการเพ่งจอคอมพิวเตอร์ในระยะใกล้ๆ ต่อเนื่องกันเป็น
เวลานาน จะเป็นสาเหตุที่ทำให้สายตาสั้นได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กๆ
4. ปัญหามองเห็นภาพซ้อน (Double Vision)
Credit ภาพ โดย www.google.co.th
เกิดจากการเพ่งตามากจนกล้ามเนื้อตาอ่อนล้าทั้ง 2 ข้าง ส่งผลให้การรวมภาพของตาทั้ง 2 ข้าง
ผิดปกติไป จึงมองเห็นเป็นภาพซ้อนได้ มักเป็นในรายที่เพ่งจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันทั้งวันโดย
ไม่หยุดพัก ซึ่งมักจะมีอาการดีขึ้นหลังจากได้พักสายตาก็จะกลับมามองเห็นปกติ
โรคต้อหิน (Glaucoma)
Credit ภาพ โดย www.google.co.th
นอกจกาโรค CVS แล้ว ยังมีความเสี่ยงต่อโรคต้อหิน (Glaucoma) ซึ่งเกิดจากความดันลูกตา
ที่สูงกว่าปกติและความไม่สมดุลระหว่างการใช้สายตาและปริมาณเลือดแดงที่เข้ามาเลี้ยงเซลล์
ประสาทตาภายในลูกตา เมื่อมีการใช้สายตามากขึ้นทำให้มีผู้ป่วยโรคต้อหินเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
นี้ เนื่องจากเซลล์ประสาทตาได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอจะค่อยๆ ทยอยเสื่อมและตายลงไป
เรื่อยๆ โดยมากมักมีอาการ ตาพร่า ตามัว สู้แสงไม่ได้ มองในที่มืดแย่ลง เห็นภาพเบลอ ภาพซ้อน
หรือตามืดบอดชั่วขณะหนึ่ง เห็นจุดแสงดำขาวเต็มไปหมด หรือเห็นเป็นแสงระยิบระยับเมื่อมองไป
กลางแดด เห็นดวงไฟมีแสงเจิดจ้าเป็นรัศมี ลานสายตาแคบเข้ามาเรื่อยๆ ในรายที่เป็นมาก หากไม่
ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจถึงขั้นตาบอดได้
เมื่อได้ทราบสาเหตุและปัญหาจากการใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนแล้ว แต่ด้วย
เครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตในปัจจุบันของเรา เราไม่สามารถ
ปฏิเสธการใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้ ดังนั้นเราควรทราบวิธีดูแลและป้องกันโรค CVS ไม่ให้เกิดขึ้น
กับสายตาของเราได้ดังนี้
1. จัดตำแหน่งการทำงานให้เหมาะสมแสงสว่างเพียงพอ ไม่มีแสงจากหน้าต่างส่องเข้าตาโดยตรง
และอย่าปิดไฟในห้องนอน แล้วเล่นคอมพิวเตอร์ โต๊ะ เก้าอี้ สูงพอเหมาะ จัดระดับของจอภาพ
ให้อยู่ต่ำกว่าสายตาประมาณ 10 - 15 องศา ตาที่มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ต้องห่างจากหน้าจอ
ประมาณ 45 - 70 เซนติเมตร
2. ใช้หลัก 20 - 20 - 20 คือทุกๆ 20 นาทีควรพักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ 20 วินาที และมองสิ่ง
สวยงามสบายตาที่ห่างไกลออกไป 20 ฟุตโดยไม่ต้องเพ่ง เมื่อรู้สึก เคืองตา ปวดตา หรือแสบตา
ให้พักสายตาทันที อย่าฝืนทำงานต่อ
3. กระพริบตาประมาณ 10 - 15 ครั้งต่อนาที เพื่อป้องกันภาวะตาแห้งหรือให้หลับตาพักซัก 3 - 5
วินาทีบ่อยๆ เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตามาฉาบตาเพื่อให้ความชุ่มชื้นต่อลูกตา หรืออาจเพิ่ม
ความชื้นในห้องทำงานด้วยการวางแก้วน้ำเมื่อต้องทำงานในห้องปรับอากาศ ในรายที่ตาแห้ง
เป็นประจำควรใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อบรรเทาอาการตาแห้ง
4. ปรับขนาดตัวหนังสือบนหน้าจอให้เหมาะสม ไม่เล็กเกินไป เพราะจะทำให้เราต้องเพ่งตามอง
มากกว่าปกติ
5. ปรับแสงสะท้อนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ไม่เล็กเกินไป เพราะจะทำให้เราต้องเพ่ง
ตามองมากกว่าปกติ
6. ใช้งานคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนในเรื่องที่มีความจำเป็น เพื่อถนอมดวงตาของเรา
นอกจากการดูแลเรื่องสายตาแล้ว เรายังควรปรับเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เช่น เปลี่ยนท่านั่ง
หมุนคอ หมุนไหล่ หมุนเอว สะบัดข้อมือ ข้อนิ้ว เดินไปเดินมาให้เป็นนิสัยทุกครั้งที่มีการใช้
คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน เพื่อลดอาการปวดหลัง ปวดข้อ ปวดกระดูกที่จะเกิดขึ้นตามมาอีกด้วย
ด้วยความทันยุคทันสมัยกับโรคใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นล่าสุด ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านทุกๆ ท่าน
จะได้ความรู้และสามารถนำความรู้ไปใช้เพื่อดูแลสุขภาพทางตาของเราให้มีความสามารถในการใช้งาน
อย่างมีประสิทธิภาพตลอดไป ด้วยความปารถนาดีจากใจครับ
เรื่องสุขภาพดวงตาของเราสำคัญมากๆ ที่คุณไม่ควรละเลย
ทุกครั้งที่เราใช้ดวงตา เราควรคำนึงถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดในเวลา
หลังด้วย เพราะอย่างที่เห็นดวงตาของเรานั้นสำคัญต่อการใช้
ชีวิตของเราแบบไหน แล้วพบกันกับบทความดีๆ แบบนี้ใน
บทความต่อไปที่ Healthofproduct จะนำมาฝากกันนะครับ
ไม่นานเกินรออย่างแน่นอน
ขอขอบคุณข้อมูลสุขภาพดีๆ
โดย นพ.สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น